มาตรฐานน้ำหนักแมวไทยและวิธีดูแลน้ำหนักแมวอย่างเหมาะสม

แชร์
แมว 6 พฤศจิกายน 2568 64 ครั้ง

หลายคนที่เลี้ยงแมวอาจสงสัยว่า แมวของเราหนักเกินไปหรือน้อยไปกันแน่ เพราะน้ำหนักมีผลโดยตรงต่อสุขภาพ อายุขัย และพฤติกรรมการใช้ชีวิตของแมว การรู้มาตรฐานน้ำหนักแมวไทย รวมถึงการเทียบอายุกับตารางน้ำหนักแมวที่เหมาะสม จะช่วยให้เจ้าของดูแลแมวได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน โรคข้อ หรือภาวะขาดสารอาหาร ที่สำคัญยังจะทำให้น้องแมวอยู่กับเราอย่างแข็งแรงไปอีกนาน ๆ

ปัจจัยที่มีผลต่อน้ำหนักแมว

สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจ คือ “น้ำหนักตัวของแมว ไม่ได้เท่ากับตัวเลขที่ขึ้นลงเพียงอย่างเดียว” แต่ยังแสดงถึงภาวะของร่างกายและสุขภาพโดยรวมของเหล่าเจ้านาย โดยมีหลากหลายปัจจัยที่เข้ามาเป็นตัวกำหนดให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

1. สายพันธุ์ของแมว

แมวไทยจัดเป็นแมวที่มีรูปร่างเพรียวบาง (Sleek/Moderate Body Type) โครงกระดูกไม่ใหญ่เทอะทะเหมือนแมวสายพันธุ์ต่างประเทศบางชนิด เช่น เมนคูน (Mane Coon) หรือ บริติช ช็อตแฮร์ (British Shorthair) ที่น้ำหนักอาจสูงถึง 6-10 กิโลกรัม ดังนั้นการเทียบน้ำหนักเพื่อดูแลสุขภาพ จึงต้องคำนึงถึงสายพันธุ์เป็นลำดับต้น ๆ ด้วย 

เพศ (ตัวผู้ vs ตัวเมีย)

นอกจากเรื่องของสายพันธุ์แล้ว การจะตอบได้ว่าแมวควรหนักเท่าไหร่ ยังอยู่ที่เรื่องของเพศด้วยเช่นกัน เพราะแมวตัวผู้มักจะมีโครงสร้างใหญ่กว่าเล็กน้อย เนื่องจากมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่า และมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยสูงกว่าตัวเมียประมาณ 0.5-1 กิโลกรัม 

อายุและช่วงวัยของแมว

น้ำหนักมีความสัมพันธ์โดยตรงกับอายุ โดยธรรมชาติของลูกแมวน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องตามตารางน้ำหนัก และเมื่อเข้าสู่ช่วงโตเต็มวัย (ประมาณ 1 ปีขึ้นไป) น้ำหนักจะเริ่มคงที่ แต่หากมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงนี้ จะบ่งบอกได้ถึงภาวะน้ำหนักเกิน ส่วนในแมวสูงวัย (7 ปีขึ้นไป) น้ำหนักอาจลดลงเนื่องจากมีอาการป่วย การเปลี่ยนแปลงของสรีระ และความสามารถในการย่อยอาหารที่ลดลง หรือในบางกรณี น้ำหนักอาจเพิ่มขึ้นได้หากกิจกรรมประจำวันลดลง และไม่เคลื่อนไหวเท่าที่ควร

โครงสร้างร่างกาย

แมวแต่ละตัวอาจมีโครงสร้างกระดูกที่แตกต่างกัน แมวที่มีโครงกระดูกใหญ่จะมีน้ำหนักมากกว่าแมวโครงสร้างเล็ก แม้จะมีปริมาณไขมันเท่ากันก็ตาม นอกจากนี้ มวลกล้ามเนื้อที่หนาแน่นก็จะทำให้น้ำหนักโดยรวมสูงขึ้นได้ ดังนั้น การประเมินภาวะอ้วนหรือปัญหาสุขภาพ จึงต้องดูโครงสร้างและมวลกล้ามเนื้อของแมวควบคู่กันไป

การทำหมัน

การทำหมันจะส่งผลต่อการเผาผลาญพลังงานให้ลดลงประมาณ 20-30% เนื่องจากมีผลต่อฮอร์โมนที่ควบคุมความอยากอาหาร แมวที่ทำหมันแล้วจึงมีความเสี่ยงสูงที่น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หากเจ้าของยังคงไม่ปรับสูตรอาหาร หรือให้อาหารในปริมาณเท่าเดิม

กิจกรรมประจำวัน

แมวที่ใช้พลังงานสูง ออกกำลังกาย หรือวิ่งเล่นบ่อยครั้ง จะสามารถรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานน้ำหนักแมวไทยได้ง่ายกว่าแมวที่ใช้ชีวิตอยู่บนโซฟาเป็นหลัก อีกทั้งการขาดกิจกรรมให้เหล่าน้องแมวได้วิ่งเล่น ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะอ้วน โดยเฉพาะแมวที่เลี้ยงแบบระบบปิด

อาหารและพฤติกรรมการกิน

อาหารและพฤติกรรมการกินของน้องแมว เป็นปัจจัยที่กระทบต่อน้ำหนักตัวของแมวได้ง่ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการให้อาหารพลังงานสูงเกินความจำเป็น หรือการให้อาหารแบบตามใจชอบแบบตลอดทั้งวัน (Free-feeding) รวมไปถึงการให้ขนมและอาหารคนเป็นประจำ ล้วนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้น้ำหนักตัวเกินกว่าเกณฑ์ในตารางน้ำหนักแมวไทยที่กำหนด

เทียบอายุและน้ำหนักที่เหมาะสมตามตารางน้ำหนักแมวไทย

อายุแมว (เดือน)เทียบอายุคน (ปีโดยประมาณ)มาตรฐานน้ำหนักแมวไทย (กก.)
1 เดือน1 ปี0.3 – 0.4
3 เดือน5 ปี1.0 – 1.3
6 เดือน10 ปี2.5 – 3.2
12 เดือน15 ปี3.5 – 5.0
24 เดือน24 ปี4.0 – 5.5
5 ปี36 ปี4.5 – 5.5
10 ปี56 ปี3.5 – 4.5
15 ปี76 ปี3.0 – 4.0

สาระสำคัญที่ทาสแมวควรรู้ !

  • มาตรฐานน้ำหนักแมวไทยอยู่ที่ 3–5 กิโลกรัม สำหรับแมวโตเต็มวัย โดยแมวเพศผู้จะมีน้ำหนักเฉลี่ยมากกว่าเพศเมียประมาณ 10–15%
  • แมวต่างประเทศพันธุ์ใหญ่ เช่น เมนคูน หรือบริติชชอร์ตแฮร์ อาจมีน้ำหนักเฉลี่ยสูงถึง 6–8 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับโครงสร้างร่างกาย
  • ลูกแมวในช่วงวัยเด็ก (0–6 เดือน) เป็นช่วงที่น้ำหนักเพิ่มเร็วที่สุด ควรให้อาหารสูตรลูกแมวเพื่อเสริมโปรตีนและแคลเซียม
  • เมื่อเข้าสู่วัยโตเต็มที่ (7 เดือน – 2 ปี) ควรรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเพื่อป้องกันภาวะอ้วน
  • แมวเพศผู้ที่ทำหมันแล้วมีแนวโน้มอ้วนง่าย ควรควบคุมปริมาณอาหารและเพิ่มกิจกรรมการเคลื่อนไหว
  • แมวเพศเมียที่อยู่ในวัยสูงอายุอาจมีน้ำหนักลดลงจากมวลกล้ามเนื้อที่หายไป ควรปรับสูตรอาหารให้เหมาะกับวัย
  • การตรวจน้ำหนักควรทำอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เพื่อประเมินสุขภาพโดยรวมและสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ
  • หากน้ำหนักของแมวเพิ่มหรือลดมากกว่า 10% ภายใน 1 เดือน ควรพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียด

วิธีประเมินน้ำหนักแมว (Body Condition Score: BCS) ที่ทาสก็ทำได้เอง

BCS เป็นมาตรฐานที่สัตวแพทย์ใช้ในการประเมินภาวะไขมันในร่างกายแมว โดยแบ่งออกเป็น 9 ระดับ เพื่อให้การประเมินสถานะทางโภชนาการมีความละเอียดและแม่นยำยิ่งขึ้น สำหรับแมวที่เน้นความเพรียวบาง และมีน้ำหนักที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ระดับเหมาะสมควรอยู่ที่ 4-5/9

ระดับ BCSสถานะน้ำหนักลักษณะทางกายภาพที่สังเกตได้ (การมองและการคลำ)
ภาวะผอมเกินไป (Underweight)
1ผอมซูบขั้นรุนแรง (Emaciated)ซี่โครง กระดูกสันหลัง และกระดูกเชิงกราน มองเห็นได้ชัดเจนจากระยะไกล ไม่พบชั้นไขมันปกคลุม ไม่มีมวลกล้ามเนื้อ หน้าท้องบุ๋มลึกมาก
2ผอมมาก (Very Thin)ซี่โครงมองเห็นได้ง่าย กระดูกสันหลังและกระดูกเชิงกรานเห็นได้ชัด มีชั้นไขมันปกคลุมน้อยมาก หน้าท้องบุ๋มชัดเจน
3ผอมปานกลาง (Thin)ซี่โครงคลำได้ง่าย แต่ยังไม่เห็นชัดเจน กระดูกสันหลังเห็นได้เล็กน้อย มีส่วนเว้าของเอวชัดเจน แต่มีไขมันปกคลุมน้อยมาก
น้ำหนักในอุดมคติ (Ideal)
4ผอมเพรียว (Optimal Lean)ซี่โครงคลำได้ง่าย มีชั้นไขมันปกคลุมที่บางมาก มองเห็นส่วนโค้งของเอวได้ชัดเจนจากด้านบน และหน้าท้องมีความเว้าเล็กน้อย
5น้ำหนักในอุดมคติ (Ideal)ซี่โครงคลำได้ง่าย มีชั้นไขมันบาง ๆ ปกคลุม มองเห็นส่วนโค้งของเอวได้ชัดเจนจากด้านบน และหน้าท้องมีความเว้าเล็กน้อย นี่คือช่วงที่เหมาะสมที่สุด
ภาวะน้ำหนักเกิน/อ้วน (Overweight/Obese)
6น้ำหนักเกินเล็กน้อย (Overweight)ซี่โครงคลำได้โดยต้องออกแรงกดเล็กน้อย มีชั้นไขมันปกคลุมเพิ่มขึ้น เอวเริ่มมองเห็นได้ยาก มีไขมันสะสมที่หน้าท้องเล็กน้อย
7น้ำหนักเกินปานกลาง (Heavy)ต้องออกแรงกดอย่างชัดเจน ถึงจะคลำเจอซี่โครง มีไขมันสะสมปานกลางที่หน้าท้อง เอวเริ่มหายไป มองจากด้านบนจะเห็นลำตัวเป็นรูปกลมหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า
8อ้วน (Obese)คลำซี่โครงได้ยากมาก หรือคลำไม่เจอเลย เนื่องจากมีชั้นไขมันหนาปกคลุม ไม่มีส่วนโค้งเว้าของเอว และมีไขมันยื่นห้อยลงมาที่หน้าท้องอย่างชัดเจน
9อ้วนมากขั้นรุนแรง (Severely Obese)มีการสะสมของไขมันจำนวนมหาศาลทั่วร่างกาย ไม่สามารถคลำซี่โครงได้เลย หน้าท้องห้อยย้อยลงมาอย่างรุนแรง และอาจพบไขมันสะสมบริเวณคอและโคนหางมากผิดปกติ

การที่แมวไทยมีน้ำหนักอยู่ในระดับ BCS 6/9 ขึ้นไป ถือว่ามีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการหายใจ ข้อต่อ และทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น

วิธีประเมินด้วยมือแบบ BCS ทำอย่างไร ?

การประเมินน้ำหนักแมวตามมาตรฐาน BDS และตารางน้ำหนักแมวไทย

วิธีประเมินน้ำหนักแมวด้วยมือแบบ Body Condition Score (BCS) เป็นการประเมินปริมาณไขมันที่ปกคลุมซี่โครง หัวไหล่ และกระดูกสันหลัง โดยอาศัยการลูบคลำตามจุดต่าง ๆ ดังนี้

  1. การคลำซี่โครง (Ribs) : ควรยืนหรือนั่งข้าง ๆ น้องแมว จากนั้นใช้นิ้วมือลูบเบา ๆ ไปตามซี่โครงของแมวบริเวณด้านข้างลำตัว ควรพบชั้นไขมันบาง ๆ และไม่ควรรู้สึกได้ถึงซี่โครงอย่างชัดเจน
  2. การคลำกระดูกสันหลังและกระดูกเชิงกราน (Spine and Pelvis) : ลูบตามแนวกระดูกสันหลังตั้งแต่คอไปจนถึงโคนหาง และคลำบริเวณกระดูกเชิงกรานเหนือโคนหาง ควรคลำให้เจอกระดูกแต่ต้องไม่แหลมเกินไป 

สัญญาณเตือนของภาวะแมวอ้วนและความเสี่ยงต่อโรคข้อ

สำหรับน้องแมวที่มีรูปร่างเพรียวบาง การมีน้ำหนักเกินจะเพิ่มภาระให้กับข้อต่อ ดังนั้น ควรลดน้ำหนักตัวของแมว เพื่อป้องกันการเป็นภาวะอ้วน ซึ่งจะนำไปสู่โรคข้ออักเสบได้ง่าย

อาการ : แมวที่มีภาวะอ้วน มักมีพฤติกรรมเกียจคร้าน เคลื่อนไหวช้าลง หรือไม่ค่อยกระโดดขึ้นที่สูง หากเจ้าเหมียวของคุณจากที่เคยวิ่งซน แต่ตอนนี้กลับนอนทั้งวัน คือหนึ่งในสัญญาณเตือนของภาวะแมวอ้วน

ความเสี่ยง : น้ำหนักที่เกินมาตรฐาน โดยเฉพาะในแมวไทยที่หนักเกิน 5.0 กิโลกรัม อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น โรคเบาหวาน (ซึ่งแมวอ้วนมีความเสี่ยงสูงถึง 4 เท่า) ข้ออักเสบ และปัญหาผิวหนังจากการเลียทำความสะอาดไม่ทั่วถึง

น้ำหนักเกินกับความเสี่ยงโรคหัวใจในแมว

หัวใจของแมวต้องทำงานหนักขึ้นมากเมื่อต้องสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงมวลร่างกายที่เพิ่มขึ้นจากไขมันส่วนเกิน ดังนั้น การที่หัวใจทำงานหนักขึ้นยังจะนำไปสู่สาเหตุของโรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปกติ (Hypertrophic Cardiomyopathy - HCM) และความดันโลหิตสูง

อาการที่เจ้าของควรสังเกต : แมวที่อ้วนแล้วมีอาการเหนื่อยง่าย หายใจแรงขณะพักผ่อน (อัตราการหายใจสูงกว่า 30 ครั้ง/นาที) มีอาการไอ หรือเบื่ออาหาร เป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องได้รับการตรวจหัวใจทันที

แนวทางการป้องกัน : การควบคุมน้ำหนักอย่างเข้มงวด การเลือกอาหารที่เหมาะสมกับการควบคุมน้ำหนัก และใช้บริการตรวจหัวใจแมวเป็นประจำทุกปี ถือเป็นหัวใจหลักในการดูแลสุขภาพแมวไทยที่มีภาวะอ้วน

การควบคุมน้ำหนักแมวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่เพียงช่วยให้รูปร่างของน้องแมวสมส่วน แต่ยังลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและโรคเรื้อรังอื่น ๆ ได้ หากสังเกตว่าแมวของคุณมีอาการเหนื่อยง่าย หายใจแรง หรือมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะบริการตรวจหัวใจสัตว์เลี้ยง ที่โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ สาขาใกล้บ้านคุณ เราพร้อมให้บริการดูแลอย่างครบวงจรตลอด 24 ชม. 

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมที่ 02-079-9999 หรือ Line Official @jaothonglor

ข้อมูลอ้างอิง:

  1. Why Do Female Cats Get Bigger After Being Spayed? Unpacking the Post-Surgery Weight Gain. สืบค้นวันที่ 17 ตุลาคม 2568 จาก https://www.achwalnutcreek.com/why-do-female-cats-get-bigger-after-being-spayed/
  2. Cat Body Condition Score Chart(BCS). สืบค้นวันที่ 17 ตุลาคม 2568 จาก https://www.petobesityprevention.org/catbcs
  3. Healthy Cat Weight Chart by Age & Breed. สืบค้นวันที่ 17 ตุลาคม 2568 จาก https://avmajournals.avma.org/view/journals/javma/255/2/javma.255.2.205.pdf
  4. Growth Curve and Energy Intake in Male and Female Cats. สืบค้นวันที่ 17 ตุลาคม 2568 จาก https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S1938973621000118

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการดูแลสัตว์เลี้ยง สนใจบริการ อาบน้ำตัดขน ว่ายน้ำ สั่งซื้อสินค้าสัตว์เลี้ยงออนไลน์ สามารถสอบถามได้ที่


#ThonglorPetHospital #TheBestAlways

Powered by Froala Editor

Powered by Froala Editor

Powered by Froala Editor

Powered by Froala Editor

Powered by Froala Editor

Powered by Froala Editor

Powered by Froala Editor

Powered by Froala Editor

Powered by Froala Editor