นัดหมาย ค้นหาแพทย์ ติดต่อเรา

คลินิกช่องปากและฟัน

ศูนย์ช่องปากและฟัน โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ

ทำไมต้องพาน้องหมาน้องแมวไปหาหมอฟัน? คำตอบที่คุณต้องรู้!

หลายคนอาจสงสัยว่า "น้องหมาน้องแมว ต้องหาหมอฟันเหมือนกับคนเราด้วยเหรอ?" "ถ้าไม่ไปหาจะส่งผลเสียกับสัตว์เลี้ยงแสนรักของเราบ้างไหมนะ?" หรือ "น้องจะเป็นโรคอะไรร้ายแรงรึเปล่า?"

เพราะอะไรต้องพาน้องไปหาหมอฟัน?

ในแต่ละวัน อาหารที่สัตว์เลี้ยงของเรากินเข้าไปมีสารอาหารมากมาย แต่ที่สำคัญคือ ฟันของสัตว์เลี้ยงไม่เหมือนกับของคนเราที่สามารถแปรงฟันได้เอง ผลที่ตามมาคือ:

  • แบคทีเรียก่อตัวเพิ่มขึ้นในช่องปาก
  • คราบพลัคและหินปูนสะสมตัวบนผิวฟัน
  • เกิดการอักเสบของเหงือกและเนื้อเยื่อรอบๆ ฟัน
  • พัฒนาไปเป็นโรคอื่นๆ ที่อาจร้ายแรงได้


ถ้าไม่พาไปหาหมอฟันจะเกิดอะไรขึ้น?

ปัญหาสุขภาพช่องปากร้ายแรงมากกว่าที่เราคิด! นอกจากสัตว์เลี้ยงแสนรักจะมีกลิ่นปากที่แรงแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ เช่น:

  1. โรคปริทันต์: เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อรอบๆ ฟัน อาจนำไปสู่การสูญเสียฟัน
  2. เหงือกอักเสบ: เหงือกบวมแดง เจ็บ และมีเลือดออกง่าย
  3. ลิ้นหัวใจรั่ว: แบคทีเรียจากช่องปากอาจเข้าสู่กระแสเลือดและทำให้เกิดการอักเสบของลิ้นหัวใจ
  4. ฝีรากฟัน: การติดเชื้อที่รากฟัน ทำให้เกิดอาการปวดและบวม
  5. ช่องปากอักเสบ: การอักเสบของเยื่อบุช่องปาก ทำให้เจ็บปวดและกินอาหารลำบาก

บางทีที่เราคิดว่าการแปรงฟันสำหรับสัตว์เลี้ยงนั้นเพียงพอแล้ว แต่จริงๆ ยังไม่พอ เพราะมีบริเวณที่แปรงฟันเข้าไม่ถึง และคราบหินปูนที่แข็งตัวแล้วไม่สามารถกำจัดได้ด้วยการแปรงฟันธรรมดา เพราะฉะนั้นอย่ามองข้ามการมาพบสัตวแพทย์

วิธีดูแลช่องปากก่อนที่ฟัน

  1. แปรงฟันเป็นประจำ:
    • เป็นวิธีพื้นฐานและสำคัญที่สุด
    • ควรเริ่มฝึกตั้งแต่สัตว์เลี้ยงยังเล็ก เพื่อให้คุ้นเคย
    • ควรแปรงอย่างน้อยวันละครั้ง โดยเฉพาะในช่วงก่อนนอน
    • คราบพลัคหรือแบคทีเรียสามารถก่อตัวขึ้นได้ภายใน 12-24 ชั่วโมง
    • ใช้ยาสีฟันสำหรับสัตว์เท่านั้น! ยาสีฟันคนอาจเป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง
  2. เลือกอาหารและของเล่นที่ช่วยดูแลสุขภาพช่องปาก:
    • อาหารเม็ดช่วยขัดฟันได้ดีกว่าอาหารเปียก
    • ของเล่นเคี้ยวพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อช่วยทำความสะอาดฟัน
    • ขนมขัดฟันที่ได้รับการรับรองจากสัตวแพทย์
  3. พามาพบสัตวแพทย์ทางช่องปากและฟันเป็นประจำ:
    • ควรพาสัตว์เลี้ยงไปตรวจสุขภาพช่องปากอย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง
    • สัตวแพทย์จะทำความสะอาดฟันอย่างละเอียด ซึ่งอาจต้องใช้การวางยาสลบเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด
    • การวางยาสลบจะดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญ และมีการตรวจสอบสุขภาพก่อนการดำเนินการเพื่อความปลอดภัย
    • สัตวแพทย์สามารถตรวจพบปัญหาที่อาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เช่น รอยผุใต้เหงือก หรือการติดเชื้อในช่องรากฟัน

สัญญาณที่บ่งบอกว่าสัตว์เลี้ยงอาจมีปัญหาสุขภาพช่องปาก

  1. กลิ่นปากแรงผิดปกติ
  2. เหงือกแดงหรือมีเลือดออก
  3. น้ำลายไหลมากกว่าปกติ
  4. ไม่ยอมให้จับบริเวณปากหรือหน้า
  5. กินอาหารลำบากหรือทำอาหารหก
  6. ฟันสีเหลืองหรือมีคราบสีน้ำตาล

หากคุณสังเกตเห็นสัญญาณเหล่านี้ ควรพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด

การดูแลสุขภาพช่องปากของสัตว์เลี้ยงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม แม้ว่าการแปรงฟันที่บ้านจะเป็นพื้นฐานที่ดี แต่การพบสัตวแพทย์เป็นประจำก็มีความจำเป็นเช่นกัน การทำความสะอาดฟันโดยสัตวแพทย์จะช่วยกำจัดคราบหินปูนที่แข็งตัวและตรวจพบปัญหาที่อาจซ่อนอยู่ได้

นอกจากจะช่วยป้องกันโรคร้ายแรงแล้ว การดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอยังช่วยให้สัตว์เลี้ยงของคุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดในช่องปาก และมีสุขภาพโดยรวมที่แข็งแรงด้วย


ช่องปากและฟันของสุนัขแตกต่างกับของคนเราอย่างไรบ้าง

1. สุนัขมีฟัน น้ำนม 28 ซี่ และฟันแท้ 42 ซี่ ต่างจากคนที่มีฟันน้ำนม 20 ซี่และฟันแท้ 32 ซี่.
2. สุนัขมีฟันเขี้ยวที่ยาวเรียวแข็งแรง เพื่อใช้ฉีกเนื้อและอาหาร ตามธรรมชาติ ในขณะที่คน มีเขี้ยวที่ทู่และป้อมกว่า
3. ฟันกรามของสุนัข มีขนาดใหญ่มากเทียบกับซี่อื่นๆ เพื่อใช้ในการขบแทะของแข็ง เช่นกระดูก ในขณะที่ฟันกรามของคนมีขนาดไม่ต่างกันมาก

4. ความเป็นกรดด่างในช่องปากของสุนัข มีความเป็นกรดน้อยกว่าของคน ดังนั้นเราจึงไม่สามารถใช้ยาสีฟันของคนในการทำความสะอาดช่องปากสุนัขได้ รวมไปถึงสุนัขส่วนใหญ่แพ้ fluoride ทำให้มีผลกับระบบทางเดินอาหารได้ กรดด่างในช่องปากของสุนัข น้อยกว่า ของคน
5. ฟันตัดด้านหน้าของสุนัขมีขนาดค่อนข้างเล็กเทียบกับฟันเขี้ยว ในขณะที่ฟันตัดของคนมีขนาดใกล้เคียงกัน

การรักษา

แพทย์ประจำศูนย์และคลินิก

บทความ

การรักษาของเรา